สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์ครั้งแรกที่ไปประเทศอังกฤษ โดยแนะนำสถานที่ต่างๆที่เราไปและนำเอาบางส่วนที่เราชอบ
มาแชร์ ข้อมูลอาจจะไม่แน่นแต่ตั้งใจทำและหลักๆทำขึ้นเพื่อเป็นความทรงจำของพวกเราและอีกส่วนก็เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังจะไปประเทศอังกฤษ
ก่อนที่เราจะเริ่มการออกเดินทาง เรามาดูกันก่อนว่าประเทศอังกฤษอยู่ส่วนไหนของโลก…
Cr: Google Map
ระยะทางไกลจากประเทศไทยของเราน่าดู
การบินของเราในวันนี้เราไปกับสายการบินของประเทศอังกฤษ British Airways
www.britishairways.com
ขาไป BA10 รอบ 11:40 ถึงในเวลาท้องถิ่น 18:20 ใช้เวลาประมาณ 12 ชม.
ขากลับไทย BA09 รอบ 16:00 ถึงในเวลาท้องถิ่น 09:40 ใช้เวลาประมาณ 11ชม.
ชั้นประหยัด ไปกลับ2คน ณ ตอนที่เราซื้อตั๋วกัน ได้ราคาที่ 54,990 บาท ก็ถือว่าคุ้มเลย
การบริการในชั้นประหยัดก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด คือดี อาหารก็โอเค มีเครื่องดื่มบริการตลอด และก็สามารถขอเครื่องดื่มได้ตลอด
แต่ขากลับจะแจกไวน์แดง/ขาวเป็นขวดขนาดเล็ก จะขอกี่รอบก็ได้ พนักงานก็ยิ้มแย้มน่ารักดี ไม่เจอปัญหาอะไรทั้งไปและกลับ แต่โชคดีขาไปไม่มีคนนั่งข้างๆ หุหุ
ก่อนจะถึงเขาจะมีเอกสารแจกบนเครื่องให้กรอกนิดหน่อยตามในรูปเลยนะคะ
ถึงลอนดอนอย่างปลอดภัย เป็นเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ตอนหนึ่งทุ่ม (ตามเวลาท้องถิ่น)
และอย่างแรกที่ควรทำเลย คือซื้อซิม ซิมที่เราใช้กัน EE (รูปด้านล่างซ้ายมือ) ส่วนขวามือ คือ Oyster Card
มาต่อกันที่ซิมของยี่ห้อนี้ การใช้งานดีมากและแนะนำเลย เราใช้อินเตอร์เน็ตทุกวันเปิดไว้ทั้งวันที่มาประเทศอังกฤษ เป็นเวลา18วัน
ไม่มีสะดุดอะไรเลย ยกเว้นจะไปอยู่ในที่อับสัญญาณจริง เช่น ใต้ดิน ก็ไม่สามารถใช้ได้ ธรรมดาไม่แปลก
ร้านซิมร้านนี้จะอยู่ทางออก จากนั้นเลี้ยวขวาเดินตรงไปอยู่ขวามือ หาไม่ยากค่ะ
วันนี้มีเพื่อนสามีมารับจากสนามบินไปยังที่พัก
ชื่อ เจมส์ อัธยาศัยดีมากขอแนะนำเลย และเขาก็มี YouTube ชื่อว่า “The Gentleman Cabbie”
ลองเข้าไปเช็คฟังสำเนียงดูหน้าตาอัธยาศัยเขาได้เลยค่ะ (คนขวานะคะฮ่าๆๆ)
และแล้วพวกเราก็ถึงจุดหมายปลายทาง
www.pointahotels.com
เราจะพักที่ Point A Hotel ย่าน Shoreditch
เป็นโรงแรมขนาดเล็ก มีดีไซน์ สะอาด และเพิ่งเปิดได้ไม่นาน สะดวกต่อการเดินทางใกล้รถใต้ดินสามารถเดินจากโรงแรมไปที่สถานีรถใต้ดินได้ เหมาะสำหรับคนที่ไม่เน้นนอนอยู่แต่ในห้องของโรงแรม ซึ่งก็เหมาพกับพวกเรา
และก็เป็นครั้งแรกที่เรามาด้วยแล้ว ออกตั้งแต่เช้า กลับเย็นยันมืด ฮ่าๆๆ
ราคา เขาจะเริ่มต้นที่ 2,800 บาท ก็ประมาณ £65 ในแต่ละวันจะไม่ใช่ราคานี้
ในกรณีของเรา พัก7คืน ตกสี่หมื่นกว่าบาท
และก่อนถึงวันบินกลับไทย เราก็ไปพักที่ Point A อีกรอบแต่พักย่าน Kings Cross สถานที่ตั้งก็สะดวกใกล้กับสถานนีรถไฟและช็อปแฮรี่พอตเตอร์
การเดินทางในลอนดอนสำหรับเราที่เร็วที่สุด คือ การเดิน (สามีพอรู้เส้นทางเลยง่ายมาก), Underground และรถบัส
ส่วนใหญ่ถ้าไม่ไปเที่ยวตอนเวลาคนกำลังไปทำงานหรือหลังคนเลิกงานรถก็จะไม่ติดมากเท่าไร ก็สามารถใช้บริการแท็กซี่ซึ่งปลอดภัยมีที่กั้นระหว่างผู้โดยสารและคนขับอย่างดี
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ควรมีพกติดกระเป๋า ก็คือ Oyster Card ซึ่งดีกว่าบัตรที่เป็นแบบกระดาษ (แบบกระดาษจะแพงกว่าและไม่คุ้ม)
ใช้ได้หลายอย่างทั้งใต้ดิน บนดิน และรถบัส ราคาบัตรใหม่ 5ปอนด์ และเราก็เติมเงินได้ตามที่เราต้องการขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน
มีรูปภาพบรรยากาศภายในรถใต้ดินมาฝาก
คนแน่นมาก
สำหรับการมาครั้งแรกของเรา โชคดีที่มีไกด์ดีอย่างสามีคอยนำทางไปยังจุดหมายปลายทางที่เราอยากไป
เราจะมาเริ่มกันที่แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ที่ใครๆ มาลอนดอนครั้งแรกส่วนใหญ่จะแวะไปกันสักครั้งในชีวิต…ซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในนั้น ฮ่าๆๆ
Big Ben
เรามาเริ่มต้นแหล่งที่เที่ยวที่สำคัญกันก่อนเลยนะคะ
เริ่มต้นของวันด้วยการไปดูความใหญ่อลังการของ Big Ben
พอเดินออกมาจากใต้ดิน ก็จะเห็นเหมือนในรูปซ้ายมือด้านบน สวยงามมาก และฝั่งตรงข้ามจะเป็น London Eye
และภาพด้านล่างนี่ก็คือหอนาฬิกายักษ์ สวยงามมากเวลาที่แสงแดดส่องมายัง Big Ben งดงามสุดๆ
ด้านหน้าประตู แต่เนื่องจากเรามาถึงก่อนเวลาเปิด เลยไม่ได้เข้าไปด้านใน แต่แค่ได้เห็นด้านนอกก็มีความสุขแล้ว
และที่ต่อไปถ้ามาถึงลอนดอนและไม่ได้ขึ้น เราไม่ยอมเลย (ฮ่าๆ) คือ London Eye
สามีก็ได้ทำการจองตั๋วขึ้นชิงช้าสวรรค์ยักษ์ไว้เรียบร้อย ผ่านทางเว็บ www.londoneye.com
ข้อดีของการจองออนไลน์ล่วงหน้า คือไปถึงโชว์ใบที่ปริ้นหรือเปิดเมลล์ให้เจ้าหน้าที่ดู หลังจากนั้นก็จะได้ฝ่าฝูงชนที่คิวยาวเหยียดไปคิวต้นๆ รอไม่เท่าไรก็ได้ขึ้น พร้อมมีพนักงาน1คน อยู่ในกระเช้านั้นกับเรา คอยแนะนำ
Champagne Experience ราคาอยู่ที่ คนละ 31ปอนด์ = 2คน 63ปอนด์ ประมาณ2,700บาท
ใช้เวลาในการอยู่บนกระเช้าประมาณ 45นาที
ก่อนเวลาขึ้นกระเช้า เราก็เดินดูบริเวณรอบและ แวะไปดู Buckingham Palace สักหน่อย
ระหว่างทางผ่านสวน Green Park ก็เขียวสมชื่อ เย็นสบาย และวันนี้แดดออกก็จะเห็นผู้คนมานอน นั่ง ตากแดด
Buckingham Palace
วันนี้คนจะน้อยหน่อยเพราะ ไม่มีการเปลี่ยนเวรทหาร
เวลาที่เราเดินมาถึงก็ถ้าเดินกลับไปก็จะพอดีขึ้นกระเช้า เลยแค่แวะมายืนดูหน้าประตูรั้วบ้าน
จากจุดตรงหน้า Buckingham Palace สามารถมองเห็นกระเช้ายักษ์
และแล้วก็ได้เวลาขึ้นกระเช้ากันแล้ว
London Eye
ตื่นเต้น!! ในความใหญ่โต
บรรยากาศภายใน ก็สนุกสนาน มีคู่รักมาฉลองครบรอบแต่งงาน น่ารักมาก
ขอปิด London Eye ด้วยภาพคู่ของเราและสามี ชอบและประทับใจมาก
Shopping Street
สถานที่ต่อไปจะเป็นถนนแห่งช็อปปิ้ง ทั้งแบรนด์เนมและของเก๋น่ารักอีกมากมาย
จะเริ่มต้นที่ถนน Bond Street แวะพบปะเพื่อนสามี เขาเป็นช่างตัดผม ตัดให้กับคนดังมากมาย หลังจากแวะทักทายเสร็จก็เริ่มหิวแล้วสินะ แวะมาทานกันที่ Carluccio’s (ในสนามบินก็มีนะจ๊ะ) เป็นร้านอิตาเลี่ยน ก็ไม่ผิดหวังเลย อร่อยมากๆๆ
วันนี้เป็นวันที่แดดออกเลยมานั่งกันด้านนอกของร้าน นั่งชมบรรยากาศคนเดินผ่าน ดูร้านอื่นๆรอบๆ
ถ้าให้นำรูปมาลงแต่ละถนนก็จะเยอะเกินไปก็เลยนำมารวมๆ แต่ก็ไม่ทั้งหมด
ส่วนถนนที่เป็นแหล่งช็อปปิ้งก็จะมี
Bond Street, Carnaby Street, Oxford Street, Regent Street และ Covent Garden เป็นต้น (จำชื่อได้เท่านี้)
แต่ถ้าจะให้แนะนำจริงๆ ในความเห็นส่วนตัวนะคะ ถ้าตั้งใจจะไปกิน ช็อป แนะนำ Harrods ภายในมีทุกอย่างครบ ทุกแบรนด์เนม
เหนื่อยจากการช็อปก็พักหาไรทานในนั้นไม่ต้องเดินออกข้างนอกเลย หา Harrods ก็ไม่ยาก
แค่นั่งรถใต้ดินไปออกที่ Knightsbridge Station และเดินไปอีกไม่เท่าไรก็จะเจอนะคะ
และถ้าใครชอบแนวของ handmade ไม่ค่อยเน้นแบรนด์แต่ก็มีสินค้าแบรนด์ขายเช่นกัน
ขอแนะนำ Old Spitalfields Market เราชอบมาก ออกแนวคล้ายตลาดนัดที่ไทย อาหารแนว Food truck หรือร้านอาหารก็มี ถ้ามีเวลาอย่าลืมแวะไปกันนะคะ
Sky Garden
ต่อไปที่จะแนะนำเป็นร้านอาหารพร้อมวิวแม่น้ำThemes นั่นก็คือ Sky Garden
ถ้าตั้งใจมาทานอาหารก็ต้องจองล่วงหน้า บางคนบอกว่าต้องจองล่วงหน้าเป็นเดือน แต่พอดีวันที่เราจองเป็นวันหยุดธนาคาร ก็เลยมี
โต๊ะว่างสำหรับพวกเรา ได้โต๊ะตรงกลางวิวดีมาก ส่วนถ้าใครแค่จะมาดื่มและชมวิวก็ไม่ต้องจอง
www.skygarden.london
ส่วนที่พวกเราจองได้ ชื่อ Darwin Brasserie เป็น 3 คอร์ส ของว่าง ของคาว และของหวาน ราคาในวันนั้นจำไม่ได้ แต่บิลมาที่ประมาณ 160 ปอนด์ เพราะมีไวน์ ถือว่าราคานี้ก็คุ้มนะ แต่อาหารส่วนตัวเรายังไม่ค่อยถูกใจเท่าไร แต่ถือว่ามานั่งชมวิวสวยๆ
Greenwich
สถานที่ต่อไปเป็นอีกสถานที่ที่มีสำคัญทางประวัติศาสตร์ Greenwich (กรีนิช)
เมืองที่ให้กำเนิดเวลาโลก
การเดินทางนั่งรถไฟจากลอนดอน มายัง Greenwich ใช้เวลาโดยประมาณครึ่งชั่วโมง
กรีนิช เป็นเมืองสีเขียว ธรรมชาติมาก ผู้คนไม่เยอะเท่าในลอนดอน และมีมหาลัยใหญ่อลังการ นักศึกษาวัยรุ่นก็จะเยอะหน่อย
และมีสถานที่ท่องเที่ยวให้ศึกษาประวัติศาสตร์ในแต่ละที่ โดยสามารถเข้าไปดูข้อมูล ราคาและรายละเอียดในการเปิดปิดแต่ละแห่งได้ที่ www.rmg.co.uk
ส่วนที่เราไปในวันนี้ก็คือ Queen’s House และ Royal Observatory Greenwich ก่อนจะขึ้นไปดูสถานที่แบ่งเขตเวลาโลก ก็จะผ่าน Queen’s House ก่อน ไม่เสียค่าเข้าชม
Queen’s House
ภายในก็จะสวยงามตามท้องเรื่อง
เราจะมาเดินขึ้นไปดูที่แบ่งเขตเวลาโลกกันนะคะ
จากในรูปด้านล่าง จะมองลงไปเห็น Queen’s House และวิวตัวเมืองลอนดอน
เดินขึ้นมาก็จะเจอประตูกั้นไว้ ในการเข้าไปดูเขตแบ่งเวลา มีค่าใช้จ่ายในการเข้าประมาณ 9ปอนด์ ต่อคนนะคะ ถ้าจำไม่ผิด
ถ้าผิดก็ขออภัยด้วยนะคะ
เข้ามาดูกรุงเทพของเรา แต่ในการถ่ายจะยากนิดนึงเพราะคนจะเยอะพอสมควร
เราก็เก็บรูปบริเวณรอบและภายในมาให้ชมเล็กน้อย
Afternoon Tea
สถานที่ต่อไปที่จะแนะนำและคุ้มค่าแห่งการรอคอยของเรามาก
เมื่อพูดถึงอังกฤษจะต้องนึกถึง Afternoon Tea เพราะคนที่นี่จะดื่มชาตลอดเวลาไม่ว่าจะร้อนหรือหนาวฝนตกแดดออก คือทุกเวลาจริงๆ เพราะฉะนั้นพอรู้ผลวีซ่าว่าผ่าน เราก็ตั้งใจว่าจะต้องมาจิบชาที่ประเทศอังกฤษสักครั้ง ฮ่าๆ
แต่ที่ที่อยากไปในที่แรกไม่ว่างเต็ม ตามร้านอาหารส่วนใหญ่ต้องจองก่อนถึงจะดีมีโต๊ะให้ชัวร์
สามีก็หาข้อมูลที่อื่นที่น่าสนใจ และมาถูกใจที่ The Berkeley เพราะมีความแตกต่างจาก Afternoon Tea ทั่วไป มีความทันสมัย
สามารถจองโดยตรงทางเว็บ www.the-berkeley.co.uk
Afternoon Tea จะมีให้เลือก 2 แบบ
แบบจิบชาปกติ หรือพร้อมแชมเปญ ซึ่งรายละเอียดก็จะอยู่ในเว็บไซต์
เราได้จองแบบจิบชาปกติ ได้ห้อง Collins Room
ในหนึ่งเซ็ตจะมี Canapes, Sandwiches และตบท้ายด้วยไฮไลท์ก็คือ เซ็ตขนมที่มาเป็นชั้นที่ได้รับการออกแบบจากดีไซเนอร์ โดยมีแรงบันดาลใจมาจาก แบรนด์เนมชื่อดัง อาทิ Gucci, Stella McCartney, Mui Mui, Dolce & Gabbana, Balenciaga, Charlotte Olympia, Mulberry, Ralph & Russo และ Emilio Pucci
และจะมีพนักงานคอยดูแลเรา พร้อมอธิบายว่าขนมชิ้นแรงบันดาลใจมาจากแบรนด์ไหน ส่วนผสมทำมาจากอะไร
ภายในเซ็ตนี้เราสามารถเปลี่ยนตัวชาได้ตลอดเวลาที่ต้องการ แต่ชาบางตัวก็มีค่าใช้จ่าย บางตัวก็ไม่เสีย
ราคาอยู่ที่คนละ 52 ปอนด์ แต่เราก็ได้สั่งแชมเปญเพิ่มและสามีเราก็เปลีย่นชาตลอด ราคาตอนบิลมาก็จะอยู่ที่ 155 ปอนด์
ถือว่าคุ้มค่า เป็นประสบการณ์ที่ดี
Cambridge
อยู่ลอนดอนเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ ถึงเวลาออกนอกเมืองกันบ้างแล้วเป้าหมายคือ บ้านพ่อแม่สามี แต่ก่อนจะถึง
เราจะมาแวะระหว่างทางที่ Cambridge พัก1คืนที่ Rectory Farm BnB
จุดประสงค์หลักที่แวะพัก เพราะอยากมา Punting นั่งเรือ โดยมีนักศึกษามาทำพาร์ทไทม์เป็นคนพายเรือให้เรา ส่วนเรื่องราคาอันนี้จำไม่ได้เลย แต่เขาจะแบ่งออกเป็น แบบแรกนั่งรวมกับคนอื่นพร้อมคนพาย แบบที่สองเราพายเอง แบบที่สามเหมาลำพร้อมมีคนพายให้เรา ซึ่งราคาก็จะแตกต่างกันออกไป เราเลือกแบบมีคนพายให้นั่งรวมกับคนอื่น ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
Cambridge เป็นเมืองขนาดเล็กมีนักท่องเที่ยวและนักศึกษาชาวเอเซียเยอะอยู่พอสมควร ไทย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีมารวมกันที่นี่หมด
และในส่วนของที่พักถูกใจมาก ธรรมชาติ ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านมากกว่าโรงแรม รู้สึกอบอุ่นธรรมชาติล้อมรอบ
ที่นี่มีสระว่ายน้ำและสนามเทนนิส แต่ที่จอดรถต้องเสียเงิน จำราคาไม่ได้ ราคาที่พักอยู่ที่คืนละ 4พันกว่าบาท ถือว่าคุ้มเช่นกัน
LINCOLN
ขับรถขึ้นไปอีก ก็จะเจอ Lincoln เป็นบ้านเกิดสามี และนอกจากจะมาเยี่ยมพ่อแม่พี่น้องสามีแล้ว ก็มางานแต่งงานของหลานสาวสามี
ก็ได้เก็บภาพโดยรวมมาฝาก ของเมืองนี้และภาพในวันงานแต่ง
ซึ่งงานแต่งที่นี่น่ารัก ไม่วุ่นวาย ไม่พิธีเยอะ เน้นญาติและคนที่สำคัญ มาพบปะเจอกัน เป็นวันที่ทุกคนมีความสุขมาก
ปล.แต่อากาศลมพัดมาทีเย็นจับใจเลย
และด้านล่างก็จะเป็นบรรยากาศภายในงานแต่ง
และในวันงานแต่งหลาน เราก็ได้จองที่พักใกล้โรงแรม
Markham Moor Inn
สามารถเข้าไปจองที่พักได้โดยตรงที่เว็บ
www.markhammoorinn.co.uk
เป็นโรงแรมขนาดเล็กๆๆ แต่การบริการ อาหารก็อร่อย พนักงานอัธยาศัยดีมาก คือ ดีหรือไม่ดีก็การันตีให้ไม่ได้ เพราะดีของแต่ละคนแตกต่าง แต่สำหรับพวกเราดีมาก ในวันงานแต่งหลานสามี หารถแท็กซี่ไม่ได้ พนักงานก็พยายามโทรจองให้ตั้งแต่คืนก่อน ไม่มีรถว่างบ้าง ไม่มาบ้าง ผลสุดท้ายเชฟขับรถไปส่งให้ เชฟน่ารักมาก (มีรูปอยู่ท้ายสไลด์)
ถ้าใครผ่านไปอย่าลืมไปแวะพักกันนะคะ
Glider
ต่อไปเป็นอีกสิ่งที่น่าลอง เหมาะสำหรับคนที่ชอบความท้าทาย ถามว่าน่ากลัวไหมก็ไม่นะ เพราะถ้าตกก็มีชูชีพให้ ฮ่าๆๆ
เป็นเครื่องร่อนขนาดเล็ก มีแบบให้นั่งสองคน และคนเดียว(สำหรับคนที่ขับเป็น)
ถ้าดูราคาตามเว็บไซต์ คนละ 90-150ปอนด์ แต่พอดีวันนั้นพวกเราไม่ได้จอง แต่ขับไปยันที่สนาม และก็เป็นวันสุดท้ายของเดือนที่แล้วที่เขาจะทำการบินก็เลยได้ในราคาที่ถูก 40ปอนด์ พร้อมใบประกาศ และถ้าครั้งต่อไปจะมาบินก็จะจ่ายแค่ 7ปอนด์
ตื่นเต้นมาก สำหรับครั้งแรกของเราและสามี
Museums
ปิดท้ายด้วยภาพรวมพิพิธภัณฑ์
Natural History Museum
Tate Modern
Imperial War Museum London
และทั้งหมดนี้ก็คือ ความประทับใจส่วนตัวของเราสำหรับครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษ
เราชอบอาหารสเปนและอิตาลีที่ประเทศอังกฤษมาก มีทานอาหารไทยแค่ตอนที่ทำให้ครอบครัวสามีกินแค่ครั้งเดียว ฮ่าๆ
ส่วนของที่นั้นแพงไหม เรื่องแพงไม่แพงขึ้นอยู่กับว่าในแต่ละวันคุณอยากทานอยากเที่ยวแบบไหน อยากสบายๆก็สตรีทฟู๊ดเต็มไปหมดอร่อยและไม่แพง ส่วนถ้าอยากได้วิว คนบริการดีๆก็อีกเรื่องกัน เพราะฉะนั้นราคาไม่สำคัญเท่ากับเราได้ไปทำในสิ่งที่เราต้องการทำและมีความสุขกับมันไหม
ถ้ามีโอกาสหลังจากนี้ไปอีกสัก4-5ปี จะกลับไปอีก ถ้าถามว่าทำไมต้องรอหลายปี
ตอบเลยว่ายังไม่โอเคกับการนั่งเครื่อง 12 ชั่วโมง
แล้วเจอกันใหม่นะคะ
ทริปหน้าจะไปที่ไหน อย่าลืมติดตามเข้ามาอ่านมาดูรูปกันนะคะ
ขอบคุณค่ะ
สุดท้าย ท้ายสุด ขอขอบคุณสามีในทุกสิ่งทุกอย่างที่พาไปร้านอาหารดีๆ เที่ยวในที่ที่เราอยากไป และทำทุกอย่างเพื่อเรา
และอีกสิ่งหนึ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ ครอบครัวสามี ขอบคุณจากใจเลยที่ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นและเหมือนเป็นบ้านตัวเอง ส่วนเพื่อนสามีก็มีแต่คนที่นิสัยดี เราพูดอังกฤษอาจจะมีติดขัดแต่เขาก็โอเคกับเราดีมากและพาไปเลี้ยงอาหารอีก ขอบคุณค่ะ
Thank you to my husband and his friends and family who made my holiday in England perfect <3.
Follow Thinglish Lifestyle on Facebook and Instagram or leave a comment below.
The post Katae in UK 2017 appeared first on Thinglish Lifestyle.
No comments:
Post a Comment